ตัวบ่งชี้ของการปฏิญาณตนว่ามุฮัมมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮ์

หมวดหมู่ :

·

·

ตัวบ่งชี้ของการปฏิญาณตนว่ามุฮัมมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮ์

อาจารย์ดาวุด  รอมาน (วันที่ 14/11/2563)

قال الإمام محمَّد بن عبد الوهَّاب رَحِمَهُ اللهُ:

وَمَعْنَىٰ شَهَادَة أَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللهِ.

1. طَاعَتُهُ فِيمَا أَمَرَ.

2. وَتَصْدِيقُهُ فِيمَا أَخْبَرَ.

3.  واجْتِنَابُ مَا نَهَى عَنْهُ وَزَجَرَ.

4. وأَلا يُعْبَدَ اللهُ إِلا بِمَا شَرَعَ.

         เชคมุฮัมมัด อิบนุอับดุลวะฮ้าบ รอฮิมะฮุลลอฮ์กล่าวว่า :ความหมายของ : “การปฏิญาณตนว่ามุฮัมมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮ์” คือ :-

1-การเชื่อฟัง ภักดีในสิ่งที่นบีซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมใช้

2-การเชื่อนบีในสิ่งที่นบีซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมบอก

3-การห่างไกลจากสิ่งที่นบีซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมห้าม

4-อัลลอฮ์จะไม่ถูกอิบาดะห์ นอกจากที่พระองค์บัญญัติ

         1.1  การเชื่อฟังในสิ่งที่นบี  ใช้ให้กระทำ 

         อัลลอฮ์กล่าวว่า :

﴿مَنْ يُطِعِ الرَّسُولَ فَقَدْ أَطَاعَ اللَّهَ ﴾ النساء: 80

ความว่า:((ผู้ใดเชื่อฟังร่อซูล แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮฺแล้ว ))

          ดังนั้นผู้ที่ปฏิญาณตนว่ามุฮัมมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮ์  หมายความว่าจำเป็นแก่ผู้นั้นที่จะต้องเชื่อฟังและภักดีในสิ่งที่ท่านสั่งใช้ให้กระทำ 

          ในบันทึกของอิหม่ามบุคอรี จากท่านอบูฮุรอยเราะห์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ

         ท่านรอซูล  กล่าวว่า : 

“كُلُّ أُمَّتِي يَدْخُلُونَ الْجَنَّةَ إِلَّا مَنْ أَبَى”، قَالُوا: يَا رَسُولَ اللَّه، وَمَنْ يَأْبَى؟ قَالَ: “مَنْ أَطَاعَنِي دَخَلَ الْجَنَّةَ، وَمَنْ عَصَانِي فَقَدْ أَبَى ] “رواه البخاري  [ 

ความว่า“อุมมะห์ของฉันทั้งจะได้เข้าสวรรค์ ยกเว้นผู้ไม้ต้องการเข้า” บรรดาซอฮาบะห์กล่าวว่า : โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ครับ ผู้ใดที่ปฏิเสธ…? ท่านรอซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า : “ผู้ใดที่เชื่อฟังฉัน เขาย่อมได้เข้าสวรรค์ ผู้ที่ฝ่าฝืนฉัน แน่นอนเขาคือผู้ปฏิเสธ” [บันทึกโดยบุคอรี]

           การตออะห์ การเชื่อฟังมีระดับขั้นของมัน: บางอย่างเป็นเรื่องวายิบแก่มุสลิมทุกคน บางอย่างเป็นฟัรฎูกิฟายะห์ บางอย่างเป็นเรื่องซุนนะห์ที่ผู้ทำได้รับผลบุญ ผู้ละทิ้งไม่ถูกลงโทษ

         ดังตัวอย่างต่อไปนี้  :-

         เมื่อบัญญัติการคลุมฮิญาบถูกประทานลงมาว่า : 

﴿ وَليَضْرِبن بِخُمُرِهِنَّ على جُيُوبهنَّ ﴾

                  ความว่า:“และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ”

                  บรรดาสามีกลับไปบอกกับสตรี ภรรยา พวกสตรีต่างหาผ้าเพื่อมาคลุมศีรษะ มาละหมาดซุบฮิเหมือนว่ามีอีกาอยู่บนศีรษะ

                  อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เรื่องของท่านญุลัยบีบที่อยู่ในบันทึกของอิหม่ามอะหมัด ท่านนบีได้สู่ขอหญิงคนหนึ่งให้แก่ท่านญุลัยบีบ แม่ของหญิงคนนั้นปฏิเสธที่จะให้ลูกสาวแต่งงานด้วย หญิงผู้นั้นจึงกล่าวว่า : ((พวกท่านจะปฏิเสธคำสั่งของท่านรอซูลุลลอฮ์อย่างนั้นหรือ? จงส่งเสริมฉันเถิด เขาจะไม่ทำให้ฉันต้องเสียหายหรอก))  หญิงผู้นั้นปฏิบัติตามคำสั่งของท่านรอซูลุลลอฮ์ แล้วเธอได้รับความดีอย่างมากมาย

         2.1 ต้องเชื่อในสิ่งที่ท่านนบี  บอกเล่า

           ท่านนบีซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้บอกเรื่องราวมากมายที่เป็นเรื่องเร้นลับ ที่มาจากอัลลอฮ์ จากบรรดามาลาอิกะห์ เรื่องในอนาคต เรื่องวันกิยามะห์และสัญญาณต่างๆของกิยามะห์ ตลอดจนเรื่องราวต่างๆในอดีต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเชื่อท่านนบีในทุกสิ่งท่านบอกเอาไว้ เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องจริงไม่มีเท็จเจือปน อัลลอฮ์กล่าวว่า : 

﴿ وَمَا يَنْطِقُ عَنِ الْهَوَى * إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى ﴾ [النجم: 3، 4

ความว่า:“และเขามิได้พูดตามอารมณ์ อัลกุรอานมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีที่ถูกประทานลงมา”

          ผู้ใดก็ตามที่ไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านนบีบอก เขาผู้นั้นไม่ใช่มุมิน ไม่ใช่ผู้สัจจริงในคำปฏิญาณตนที่ว่ามุฮัมมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮ์ เพราะว่าเขาปฏิญาณตนว่ามุฮัมเป็นรอซูลแต่กลับไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านรอซูลบอก ปฏิเสธในสิ่งที่ท่านรอซูลบอก ไม่ทำตามในสิ่งที่ท่านรอซูลใช้? ท่านนบี  กล่าวว่า :

وقال النبي: “أُمِرْتُ أَنْ أُقَاتِلَ النَّاسَ حَتَّى يَشْهَدُوا أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَيُؤْمِنُوا بِي وَبِمَا جِئْتُ بِهِ”

         ความว่า:((ฉันถูกสั่งใช้ใหต่อสู้กับผู้คน จนกว่าพวกเขาจะปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าทีถูกกราบไหว้อย่างแท้จริง นอกจากอัลลอฮ์ และพวกเขาจะอีหม่านต่อฉันและต่อสิ่งที่ฉันได้นำมา))

         ตัวอย่างในเรื่องนี้คือ :-

           ท่านอบูบักร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เชื่อเรื่องที่ท่านนบีบอกในเหตุการอิสรออ์ มิอ์รอจ และท่านยังเชื่อในทุกๆเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้รับฉาว่า “อัซซิดดีก” (ผู้ที่เชื่ออย่างจริงจัง)

            ท่านนบีได้บอกเล่าถึงเหตุการณ์ต่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วมันก็เกิดขึ้นมาอย่างนั้นจริงๆ อันได้แก่ การเสียชีวิตของท่านนบี บัยตุ้ลมักดิสจะถูกพิชิตในปีที่16 ยุคคอลีฟะห์อุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ  จะเกิดโรคอหิวาตกโรคระบาดที่เมืองอัมวาสและเมืองชามในปีที่18  ทรัพย์สมบัติจะมีมากจนคนไม่อยากได้กันในยุคของอุมัร บินอับดุลอซีซ

         3.1 ต้องห่างไกลจากสิ่งที่ท่านนบี ห้าม

            ท่านรอซูลุลลอฮ์จะไม่ห้ามสิ่งใด นอกจากสิ่งนั้นเป็นอันตราย และจะไม่สั่งใช้สิ่งใดนอกจากเป็นเรื่องที่ดี หากว่าคนหนึ่งคนใดไม่ออกห่างจากสิ่งที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ห้าม ก็หมายความว่าเขาทำสิ่งย้อนแย้งกับสิ่งที่เขาได้ปฏิญาณตนเอาไว้ อัลลอฮ์กล่าวว่า:

﴿ وَمَا آتَاكُمُ الرَّسُولُ فَخُذُوهُ وَمَا نَهَاكُمْ عَنْهُ فَانْتَهُوا ﴾ [الحشر: 7

ความว่า: ((สิ่งใดที่ท่านรอซูลได้นำมาให้พวกท่าน พวกท่านจงยึดมันไวเถิด และอันใดที่ท่านได้ห้ามพวกเจ้าก็จงละเว้นเสีย ))

         ในบันทึกของซอฮีฮัยนิ ฮะดีษของอบูฮุรอยเราะห์ ท่านนบี  กล่าวว่า:

“مَا نَهَيْتُكُمْ عَنْهُ فَاجْتَنِبُوهُ، وَمَا أَمَرْتُكُمْ بِهِ فَأْتُوا مِنْهُ مَا اسْتَطَعْتُمْ”

 ความว่า: ((สิ่งใดที่ฉันได้ห้ามพวกท่าน จงออกห่างมันเถิด และสิ่งใดที่ฉันใช้พวกท่าน จงทำให้สัด ความสามารถ))

          สิ่งต้องห้ามก็มีระดับขั้นของมัน กล่าวคือ:- บางส่วนเป็นเรื่องที่ศาสนาห้ามอย่างเด็ดขาด ที่เรียกว่าสิ่งหะรอม และบางส่วนเป็นเรื่องน่าเกลียดหากไปกระทำมัน ที่เรียกว่าสิ่งมักรูฮ์ เช่น การกินหัวหอม หัวกระเทียม เพราะกลิ่นของมันจะรบกวนคนอื่นในขณเละหมาด

         4.1 ต้องไม่อิบาดะห์ต่ออัลลอฮ์ นอกจากตามที่อัลลอฮ์กำหนด

           อิบาดะห์เป็นการกำหนดของอัลลอฮ์และรอซูลเท่านั่น ไม่อนุญาตให้ผู้ใดนำอิบาดะห์ที่ท่านรอซูลมิได้กำหนดมาปฏิบัติ บันทึกของอิหม่ามบุคอรีและมุสลิม จากท่านหญิงอาอิชะห์รอฎิยัลลอฮุอันฮา ท่านรอซู  กล่าวว่า :

“مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا هَذَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ”

ความว่า: ((ผู้ใดที่อุตริสิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนาของเราทั้งๆที่สิ่งนั้นไม่ใช่ศาสนา สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ))

ในบันทึกของอิหม่ามมุสลิม ท่านญาบิร ท่านนบี ได้กล่าวในคุตบะห์วันศุกร์ว่า:

“فَإِنَّ خَيْرَ الْحَدِيثِ كِتَابُ اللَّه، وَخَيْرَ الْهَدْيِ هَدْيُ مُحَمَّدٍ صلى الله عليه وسلم،

وَشَرَّ الأُمُورِ مُحْدَثَاتُهَا وَكُلَّ بِدْعَةٍ ضَلالَةٌ”

ความว่า:แท้จริงคำพูที่ดีที่สุดคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ ทางนำที่ดีที่สุดคือ ทางนำของท่านนบีมุฮัมมัด  การงานที่เลวที่สุดคือ การอุตริสิ่งใหม่ และทุกๆบิดอะห์นั้นเป็นเรื่องหลงผิด

          ต้องละทิ้งบิดอะห์ ละทิ้งคำพูดต่างๆที่ค้านกับซุนนะห์ ไม่ว่าผู้พูดจะเป็นใครก็ตาม ดังคำพูดของบรรดาปราชญ์ต่อไปนี้:-

         อิหม่ามมาลิก บินอนัส รอฮิมะฮุลลอฮ์กล่าวว่า :

 ((พวกเราทุกคนล้วนเป็นผู้ปฏิเสธและถูกปฏิเสธ นอกจากเจ้าของหลุมศพนี้เท่านั้น)) หมายถึงท่านรอซูลุลลอฮิซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม      

อิหม่ามมุฮัมมัด บินอิดรีส อัลชาฟิอี รอฮิมะฮุลลอฮ์กล่าวว่า:

((บรรดาปราชญ์มีมติว่า ผู้ใดที่รับรู้ซุนนะห์ของท่านรอซูลุลลอฮ์อย่างชัดเจนแล้ว เขาไม่มีสิทธิที่จะทิ้งซุนนะห์เพื่อไปเอาคำพูดของคนหนึ่งคนใด ))

อิหม่ามอะหมัด บินฮัมบัล รอฮิมะฮุลลอฮ์กล่าวว่า :

         ((ฉันประหลาดใจกับผู้ที่รู้จักสายรายงานหะดีษและความถูกต้องของมัน แต่เขากลับไปเอาความเห็นของท่านซุฟยาน เพราะอัลลอฮ์กล่าวว่า: “บรรดาผู้ฝ่าฝืนคำสั่งของนบีจงระวังฟิตนะห์ หรือไม่ก็จะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด” ท่านรู้หรือไม่ว่า อะไรคือฟิตนะห์? ฟิตนะห์คือ : การทำชิริก เพราะเมื่อคนหนึ่งปฏิเสธบางคำพูดของท่านนบีแล้ว ในหัวใจเขาจะมีการเฉไฉ แล้วเขาก็จะหายนะ))


อ่านบทความอื่นๆ

ดูตามหมวดหมู่

ดูตามคำค้น

รอมฏอน ละหมาด